You are what you eat ! อาหารคือยาวิเศษ

สวัสดีค่ะเพื่อนๆชาว Steemit ทุกท่าน

กลับมาพร้อมเรื่องราวเดิมๆเกี่ยวกับสุขภาพร่างกายและอาหารการกินเหมือนเคย คนโบราณกล่าวไว้ว่า “ยาที่ดีที่สุดก้อคืออาหารที่เราทานกันเข้าไปในแต่ละมื้อนั่นเอง” บางคนก้อเชื่อ บางคนว่าไม่จริง โลกพัฒนาไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ต่างคนต่างความคิดไม่มีผิดไม่มีถูก เอาที่แต่ละครอบครัวสะดวกก้อเป็นอันว่าใช่ได้แล้วค่ะ 🤗

สำหรับครัวครอบเรา มันคือความโชคดีบนเรื่องร้ายๆที่วันหนึ่งคุณหมอตรวจพบว่าคุณแม่สามีมีก้อนเนื้อที่เรียกว่า “มะเร็ง”ในระยะที่ 4 แล้ว คุณหมอที่นิวยอร์กบอกคุณแม่ว่าเราไม่สามารถรักษาอาการของคุณได้ นั้นหมายความว่า “รอวันจากไปอย่างเดียว” ครั้งนั้นคุณแม่เล่าว่าลูกชาย (สามีเรานั้นเอง) ยังอยู่ในช่วง High School เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ และตอนนั้นลูกชายก้อมีปัญหาการทำงานของหัวใจที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด

ด้วยความที่เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว และเป็นห่วงลูกชายมาก คุณแม่สามีจึงบอกกับตัวเองว่า “ฉันตายตอนนี้ไม่ได้” จากนั้นจึงตัดสินใจออกจากโรงพยาบาลและมารักษาตัวเองที่บ้าน

ช่วงอาทิตย์แรกเป็นอะไรที่หนักมาก ทั้งทรมานและเจ็บปวดร่างกายจนไม่มีเเรงแม้จะดื่มน้ำ แต่ต้องฝืนเพราะบอกกับตัวเองว่า “ตายไม่ได้” หลังจากนั้นคุณแม่บอกลูกชายอุ้มตัวเองมาที่โซฟาในห้องรับแขก และให้ตั้งคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กเครื่องใหญ่ เอาเม้ามาไว้ให้ใกล้มือ ทำแบบนี้ทุกวัน จนวันหนึ่งหลังเลิกจากโรงเรียนลูกชายแอบดูแม่ว่าทำไมต้องให้อุ้มมาที่ตรงห้องรับแขกทุกเช้า และก้อได้เห็นว่าแม่พยายามหาข้อมูลรักษาตัวเองจากผลวิจัยต่างๆ ด้วยการพยายามขยับเม้าแล้วหาข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ สามีเล่าให้ฟังว่าช่วงเวลานั้นอยากเลิกเรียนหนังสือแล้วมาดูแลแม่มากแต่แม่มักจะพูดว่าให้เลิกความคิดนั้นซะเพราะ ความสำเร็จของลูกทำให้แม่มีแรงสู้ และแม่ก้อมีพยาบาลส่วนตัวอยู่ดูแลอย่างใกล้ชิดไม่ต้องเป็นห่วง หัวใจแม่ยังแข็งแรงดีอยู่ เราเป็นลูกสะใภ้ได้ยินเรื่องราวแบบนี้ก้อกลั้นน้ำตาไว้แทบไม่ไหวค่ะ

ช่วงแรกคุณแม่เล่าว่า วันนึงค้นคว้าอ่านข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ได้ไม่เกินสองบรรทัดก้อหมดแรงแล้ว แต่ก้อกัดฟันเพื่อมีชีวิตต่อเพื่อลูก ... จากวันเป็นเดือน เดือนเป็นปี อาการคุณแม่ทรงๆ มีหนักบ้างเบาบ้างสลับกันไป แต่สุดท้ายคุณแม่ก้อมีวันนี้ วันที่สามารถเรียกตัวเองได้ว่าเป็น CANCER SURVIVOR แถมยังดูสดใสสุขภาพแข็งแรงขึ้นแม้จะถูกตัดอวัยวะภายในบางส่วนไปแล้วก้อตาม

แต่ด้วยความที่คุณแม่มีข้อมูลสุขภาพและรักษาตัวเอง จากวันที่เรียกว่าเป็นโครงกระดูกเดินได้ จนวันนี้แทบไม่มีใครทราบว่าคุณแม่เคยเป็นโรคมะเร็งมาก่อน ทั้งหมดก้อเพราะว่าคุณแม่ใช้ยาวิเศษที่เรียกว่า อาหารการกินนี่แหละค่ะ ในการดูแลตัวเองและประคับประคองมาจนถึงทุกวันนี้

จากทั้งหมดที่เล่ามาเป็นประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้นกับคนใกล้ตัว และพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า “ยาที่ดีที่สุดก้อคือสิ่งที่เราบริโภคเข้าไปนั่นเอง”

ที่ตุ๊กติ๊กพูดว่าพวกเราโชคดีจากเหตุการณ์ร้ายๆ ก้อเพราะว่า เรามีคุณแม่ที่เจอและผ่านเรื่องร้ายๆนี้มาด้วยตัวเธอเอง และคุณแม่ก้อแบ่งปันแนวคิดดีๆความรู้เกี่ยวกับสุขภาพจากประสบการณ์ของคุณแม่เองเล่าสู่พวกเราฟัง แม่บอกว่า “อย่ารอให้วันนั้นมาถึงแล้วค่อยเริ่มดูแล เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะโชคดีเหมือนแม่”

เราสองคนสามีภรรยาถือว่ายังอายุไม่เยอะ ยังเป็นวัยกลางคนที่พอจะเริ่มดูแลสุขภาพได้ทัน อีกทั้งตัวตุ๊กติ๊กเองก้อชอบในเรื่องสุขภาพเป็นทุนอยู่แล้วเลยตกลงกับสามีว่า เรามาดูแลสุขภาพเพื่อกันและกันเถอะ

ทุกวันนี้เราสองคนอยู่อย่างคนปกติทั่วไป แค่ใส่ใจเรื่องอาหารการกินมากขึ้นมานิดหน่อยเท่านั้นเองค่ะ ชีวิตก้อยังคงเดินหน้าต่อไป มีสนุกมีสังสรรค์ ตามวาระโอกาสที่สมเหตุสมผล เราวางเป้าหมายชีวิตเพื่อให้เราเห็นภาพชัดเจน และเป็นเหตุผลในการตื่นมาในทุกเช้าแล้วลุยต่ออย่างแข็งแรงเพื่อให้บรรลุเป้าหมายชีวิตต่อไป

สุขภาพเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ตัวเราเองมักหยิบยื่นให้ผู้อื่นดูแลเพราะเชื่อว่าเค้าเหล่านั้นมีหน้าที่ดูแล แต่ความจริงแล้ว สุขภาพและร่างกายส่งสัญญาณให้เรารับรู้เป็นคนแรกๆ เสมอ ลองฟังเสียงของร่างกายตัวเราเองสักครั้งแล้วจะรู้ว่าเราสามารถดูแลเค้าได้จริงๆ

Lot of Love
@giantkidishere