"ครู"
คำว่าครูมีความหมายให้ครุ่นคิด
สั่งสอนศิษย์จนได้ดีมิแหนงหน่าย
ความหวังดีมีใครเล่าจะเข้าใจ
อยากจะให้ไตร่ตรองลองคิดดู
สวัสดีค่ะเพื่อนๆ วันนี้ไม่ได้ไปไหน ขอหยุดพักสักวัน ถึงจะหยุดทำงาน แต่ความคิดยังไม่หยุดนะคะ
ยังครุ่นคิดอยู่ทุกวันว่าจะหาเรื่องอะไรมาพูดคุยให้เพื่อนๆได้รับฟังกัน...เอาเป็นว่า วันนี้จะพูดเกี่ยวกับเรื่องของครูแล้วกันนะคะ...
หลังจากกินข้าวเสร็จ สามีก็เดินไปหาเพื่อนคุย เพราะวันนี้เรากะว่าจะพักผ่อนสักวัน พอสามีเดินไปได้สักครู่ ฉันก็เดินตามหลัง เขาเดินไปไกลแล้ว พอฉันเดินออกมาจากประตูบ้าน สายตาของฉันก็มองไปเห็นเพื่อนบ้านซึ่งบ้านแกจะอยู่เยื้องๆกับบ้านฉันกำลังนั่งขายมะไฟอยู่ ฉันจึงตรงไปและนั่งพูดคุยกับแกถึงเรื่องสัพเพเหระ แกขายกิโลกรัมละ20บาท มะไฟก็จะออกรสเปรี้ยวหวาน แกไปเอามาจากบ้านญาติที่จังหวัดเลยซึ่งเขาให้มาฟรีๆ พูดถึงว่าชอบมั๊ย?...ฉันหมายถึงมะไฟน่ะ อ๋อ...ก็ไม่ถึงกับชอบหรอกค่ะ ถ้ามีก็กิน ฉันเลยอุดหนุนมะไฟแก ทีนี้เลยคุยกันยาวเลยค่ะ
คุณป้าท่านนี้ แกมีรถรับ-ส่งนักเรียน สามีเป็นคนขับ ส่วนแกจะนั่งท้ายรถเป็นคนดูแลเด็ก ในวันธรรมดาแกก็จะไปรับส่งนักเรียน พอไปส่งตอนเช้าแกและสามีก็จะขับรถมาบ้าน พอตอนใกล้จะเลิกเรียนถึงจะขับกลับไปรับเด็กอีกทีหนึ่ง รายได้ก็ตกประมาณเดือนละ14,000-16,000บาท สำหรับคนบ้านนอกก็ถือว่ารายได้โอเค เพราะบ้านนอกเราค่าใช้จ่ายก็ไม่เยอะเท่าไหร่ "บ้านก็ไม่ต้องเช่า ข้าวก็ไม่ต้องซื้อ ปรึกษาหารือไม่ต้องเสียสตางค์"555...
พูดไปพูดมาเป็นเพลงซะงั้น
ถ้าเป็นเมื่อก่อน จะไม่มีรถรับส่งนักเรียน เพราะผู้ปกครองจะเอาลูกหลานไปเรียนที่โรงเรียนในหมู่บ้านของตน แต่ปัจจุบันนี้อะไรๆก็ดูทันสมัยไปหมด ผู้ปกครองก็อยากจะให้ลูกหลานได้เรียนในโรงเรียนดีๆที่ทันสมัย มีเทคโนโลยีเพรียบพร้อม นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีครูฝรั่งสอนภาษาโดยตรงอีกด้วย ดังนั้น ผู้ปกครองจึงย้ายลูกหลานไปเรียนในตัวอำเภอเสียหมด ซึ่งตอนนี้โรงเรียนประถมในหมู่บ้านของฉันจากป.1-ป.6มีนักเรียนแค่60กว่าคนเท่านั้น
พอแกไปส่งเด็กนักเรียนเสร็จแล้ว แกจึงมานั่งขายมะไฟอยู่หน้าบ้าน ฉันก็นั่งพูดคุยกับแกอยู่เป็นนานสองนาน เรื่องมันเลยยาว...
วันหนึ่ง...ขณะที่ไปรับนักเรียนที่โรงเรียนเพื่อที่จะนำไปส่งบ้าน แกก็ได้ยินเสียงเด็กคุยกัน
"พี่ หนูเจ็บตรงหน้าผากจัง"
เสียงของเด็กน้อยอนุบาล๒ดังขึ้น
"อ้าว เป็นอะไรเหรอ "
เสียงพี่สาวซึ่งเรียนอยู่ชั้นป2ถาม
"คุณครูฝรั่งเอาท่อแป๊บวางใส่หน้าผากหนูแล้วหมุนๆ พร้อมกับพูดว่า"เด็กโง่"
เสียงน้องชายพูดพร้อมกับเอามือไปจับที่หน้าผาก
แกได้ยินเด็กสองคนนี้พูดคุยกัน แต่ก็ไม่ได้สนใจเพราะคิดว่าเด็กจะพูดคุยกันเล่นเฉยๆ แกส่งนักเรียนจนหมดแล้วจึงกลับบ้าน
พอรุ่งเช้าแกก็ไปรับเด็กนักเรียนตามปกติ ซึ่งเด็กนักเรียนจะมีเฉพาะเด็กอนุบาลถึงป.6 ขณะที่จอดรถแกก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น
"ยาย ไปถามครูประจำชั้นให้หน่อยนะ ทำไมครูถึงทำกับหลานฉันยังงี้ ดูสิ จนหนังถลอก"
เสียงคนที่เป็นย่าบ่งบอกถึงความไม่พอใจ
"เอ๊ะ แล้วไอ้หนูมันเป็นอะไรน่ะ ทำไมหน้าผากถึงเป็นรอยแดงๆและถลอกอย่างนั้น"
แกถามด้วยไม่รู้
"ก็ไอ้หนูมันบอกว่าครูฝรั่งเอาท่อแป๊บหมุนที่หน้าผาก แล้วก็พูดว่าเด็กโง่ ดูซิเนี่ย...แผลถลอกเลย อย่างนี้ฉันไม่ยอมนะ ยายช่วยถามครูประจำชั้นให้หน่อยว่าทำไมครูถึงทำกับเด็กอย่างนี้"
น้ำเสียงนั้นบ่งบอกถึงความเอาจริงเอาจัง
พอไปส่งนักเรียนที่โรงเรียนแล้ว แกจึงไปหาครูประจำชั้น ครูประจำชั้นก็บอกว่าไม่รู้เรื่องและจะถามครูฝรั่งให้ พอตอนเย็นแกก็ไปรับเด็กที่โรงเรียนแล้วนำมาส่งบ้าน แกจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ย่าของเด็กคนนี้ฟัง ทีนี้เรื่องก็เลยถึงผอ.ของโรงเรียนแห่งนี้
ผอ.ก็เรียกครูฝรั่งคนนี้ไปสอบถาม ครูฝรั่งคนนี้เป็นผู้หญิงค่ะ แต่เธอให้การว่าที่ธอทำลงไปก็เพราะเอ็นดูเด็กเท่านั้น เธอไม่คิดว่าท่อแป๊บจะคมขนาดนั้น ซึ่งสรุปแล้วเธอโดนไล่ออกเพราะทำให้เสื่อมเสียถึงสถาบัน เธอร้องไห้ฟูมฟายพร้อมกับขอแก้ตัวใหม่อีกครั้ง เธอไปขอโทษย่าของเด็กน้อยถึงบ้าน สรุปแล้วผอ.จึงให้โอกาสเธออีกครั้ง
ขณะที่พูดคุยกันอยู่นั้น ก็พอดีมีรถขายรองเท้าผ่านมาและจอดคุยด้วยอีกคน
เขาโฆษณาขายรองเท้าและนั่งคุยกับเราสองคน ทีแรกก็ไม่มีใครสนใจจะซื้อ อายุของเขาก็ประมาณเกือบๆ40แล้ว
"โอ๊ย สมัยผมเรียนน่ะ ไม่มีการฟ้องเหมือนทุกวันนี้หรอก ครูมีอิทธิพลเหนือพ่อแม่ แม้แต่พ่อแม่ของผมยังกลัวครูเลย ตอนนั้นผมและเพื่อนๆก็ออกจะซนๆหน่อย คุณครูก็จะเรียกออกมาหน้าชั้น และบอกให้กอดอก ทีนี้แกก็ใช้ไม้เรียวหวดเข้าที่ก้น ก็ไม่เห็นจะมีใครมาเอาเรื่องเหมือนสมัยนี้เลย"
เขาพูดพร้อมกับเสียงหัวเราะ น้ำเสียงที่เปล่งออกมาจะออกแววกวนนิดๆ
เราทั้งสามคนพูดกันอยู่นานพอสมควร ฉันนั่งอยู่แคร่ ส่วนเขานอนอยูบนเปลใต้ต้นมะขาม คุยไปคุยมา ยายเจ้าของรถรับส่งนักเรียนจึงเดินไปชมรองเท้า ในที่สุดเขาก็ได้ขายรองเท้า1คู่ ส่วนฉันซื้อรองเท้าแบบนี้นานแล้ว ซึ่งจะเป็นรองเท้าที่ทำจากยางพารา ดูๆแล้วก็น่าจะทนเหมือนกับที่เขาโฆษณา...
เพื่อนๆคะ นี่ก็คงเป็นอีกเทคนิคหนึ่งในการขายของ
เพราะตอนแรกยายคนนั้นก็บอกว่าจะไม่เอา พอคุยไปคุยมาก็ตกหลุมจนได้555...
สำหรับเรื่องของครู ก็ขอฝากไว้เป็นข้อคิดใหม่กับคุณครูทุกท่านนะคะ เพราะครูปัจจุบันกับสมัยก่อนจะแตกต่างกันมาก รวมถึงเด็กๆด้วย เด็กสมัยก่อนจะกลัวครูและไม่ค่อยกล้าถามครูเหมือนสมัยนี้ สำหรับวันนี้ต้องขอลาไปก่อน ขอให้เพื่อนๆทุกคนจงมีแต่ความสุข สวัสดีค่ะ
ขอขอบคุณทุกๆอัพโหวต คอมเม้นต์และการติดตาม ความจริงใจมีให้กับทุกๆคนค่ะ
Thank you for upvote, comment and follow me.
เดียวมาอ่านอีกทีนะพี่นาง โหวตให้ก่อนสะดุ้งตื่นมาเห็นโพสต์พอดี5555
ถึงขนาดสะดุ้งตื่นมาเห็นเลยหรอค่ะพี่โจ้ 😅😅
ตอนตี 4 มันกำลังฝันพอดีตื่นมาดูเล่นๆ5555
ขอบคุณค่ะคุณโจ้555
โชคดีที่บ้านหนูอยู่ใกล้โรงเรียนค่ะ เลยไม่ต้องขึ้นรถ
จ้ะเหมียว
ชีวิตสบายๆ ไม่อึดอัดเหมือนคนที่อยู่ในเมือง
บ้านนอกไม่แออัดค่ะคุณพ่อ สบายๆ แต่ลำบากหน่อยค่ะ
เป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่ายดีครับ ไม่เหมือนในเมืองวุ่นวายครับ
ก็จริงครับ ไม่ต้องวุ่นวายแข่งกับเวลาเพราะชาวไร่ชาวนาเป็นนายของตัวเอง
กาลเวลาเปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยน มันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ตามมาเหมือนกัน 😊😊
ถูกต้องเลยจ้ะนาง